บริจาค

เห็นว่า..บล็อกนี้ดี มีประโยชน์... โปรดสนับสนุนผู้ทำบล็อกได้ที่ พร้อมเพย์ 083-4616989
หรือบัญชี 002-1-70462-8 กสิกรไทย สาขาบางลำภู

นิพพานเป็นอนัตตากับการถกเถียง[01]


เมื่อผมลงบทความนี้ใน gotoknow มีผู้มาให้ความเห็นและถกเถียงกันมากพอสมควร ผมจึงนำมาเก็บไว้ด้วย ณ ที่นี้ เพื่อให้เป็นประวัติศาสตร์ และประโยชน์สำหรับคนที่จะมาศึกษาเรื่องนี้ในภายภาคหน้า

คนแรกเลยคือคุณ umi (09 ตุลาคม 2553 06:02) เข้ามาให้การสนับสนุน ดังนี้

มาชม เห็นคมในความคิดวิเคราะห์นี้นะครับ... อ่านแล้วนึกถึง...สี่เท้ายังรู้พลาด นักปราชญ์ยังรู้ไม่จริงก็มีนะครับ...

เรื่องนี้หลายคนยังคงนอนหลับใหลลืมตื่นกันจำนวนมาก...เพียงเพราะในพระไตรปิฎกว่า...นิพพานวินิจฉัยว่าเป็นอนัตตา...

ผมตอบไปดังนี้ (09 ตุลาคม 2553 09:37)

เรียน คุณ umi

ขอบคุณเป็นอย่างยิ่ง นานๆ จะมีคนเห็นด้วย และมีข้อเขียนพอจะวิพากษ์วิจารณ์ต่อไปได้ ส่วนใหญ่แล้ว มีซะพวกมารำพึงรำพัน ถึงความด้อยทรัพย์ อับปัญญาของตนเอง

ทำอย่างกะผมเป็นจิตแพทย์

พอวิพากษ์วิจารณ์กลับไป ก็ถูกด่าอีก ที่ gotoknow มีคำเตือนเรื่องกฏ กติกา การแสดงความคิดเห็น ผมก็ว่า สาเหตุเกิดจากบล็อกของผมนี่แหละ

ขออธิบายเพิ่มเติมดังนี้ คือ ข้อความที่ว่า "ในพระไตรปิฎกว่า...นิพพานวินิจฉัยว่าเป็นอนัตตา..." ข้อความตรงนี้ พุทธวิชาการก็มั่วนิ่มอีก

พระบาลีในพระไตรปิฎกแปลไปอย่างนั้นไม่ได้เลย พระไตรปิฏกส่วนใหญ่ก็ไม่แปลอย่างนั้น มีเล่มเดียวเท่านั้น ที่แปลไปตาม "คำสั่ง" ของพระใหญ่ๆ ที่เป็นพุทธวิชาการ

เป็นการเลี่ยงบาลีที่ค่อนข้างจะน่าเกลียดพิลึก

ในการถกเถียงกันเรื่อง "นิพพานเป็นนิจจัง/สุขังอนัตตา" หรือ "นิพพานเป็นนิจจัง/สุขัง/อัตตา พวกที่ถือฝ่ายว่า "นิพพานเป็นนิจจัง/สุขัง/อนัตตา" ยกข้อความดังกล่าวมาอธิบายไม่หมดทั้งส่วน เอามานิดเดียว

ถ้ายกมาหมดคนอ่านที่มีความคิดซะหน่อยก็จะรู้ว่า "ในพระไตรปิฎกว่า...นิพพานวินิจฉัยว่าเป็นอนัตตา..." เป็นการแปลผิดอย่างแน่นอน

ลองกลับไปหาอ่านดู....

ต่อไปคือคุณปรีดา [IP: 180.180.144.127] 30 ตุลาคม 2553 00:35 เข้ามาให้ความเห็น ดังนี้

ขอทราบข้อเสนอแนะเพิ่มเติม น้ำย่อมต้องมีภาชนะรองรับและแปรสภาพไปตามภาชนะที่รองรับนั้น ฉันใดจิตย่อมต้องมีขันธ์เป็นที่อาศัยและขันธจะแปรสภาพไปตามสภาวของจิต

ไม่ว่าเราจะไปเกิดในทุกภพทุกแดน ย่อมถูกจำกัดด้วยเวลา จะมากจะน้อยขึ้นอยู่กับสภาวะจิตในขณะนั้นๆ แต่นิพพานไม่มีเวลา ดังนั้น เวลาจึงสูญไป ไม่ต้องกลับมาเวียนว่ายในวัฏฏะสงสารอีก

แต่จิตที่บริสุทธิ์ปราศจากกิเลสยังมีอยู่ ขันธ์ซึ่งเป็นที่ตั้งมั่นของจิตก็น่าจะมีอยู่ แต่เวลาเป็นสูญจึงเรียกว่านิพพาน

ผมตอบไป ดังนี้ (30 ตุลาคม 2553 17:29)

เรียน คุณปรีดา

ผมสงสัยว่า ทำไมคุณปรีดาเอาเรื่องเวลามาเป็นปัจจัยสำคัญทำไม ขยายความเพิ่มเติมได้ไหม

ในอนัตตลักขณสูตร ยืนยันว่า "ขันธ์ห้าไม่ใช่ตัวตนของเรา" ภาษาอย่างนี้ อนุมานได้ว่า ตัวตนของเราต้องมี

ตัวตนของเรานั้น ทางวิชชาธรรมกายเรียกเป็นภาษาไทยว่า "เห็น จำ คิด รู้" ซึ่งก็คือใจ/จิต/วิญญาณ แต่เป็นตัวตนสมมุติ ยังตกอยู่ในสามัญญลักษณะคือ อนิจจัง/ทุกขัง/อนัตตา ยังต้องปรุงแต่งอยู่

เมื่อปฏิบัติธรรมจนถึงขั้นกิเลสหมด ขันธ์ห้าจะเปลี่ยนเป็นธรรมขันธ์ ตัวตนที่สมมุติก็จะเป็นตัวตนโลกุตระ

เรื่องก็ง่ายๆ แค่นี้ สำหรับเรื่องเวลานั้น นิพพานก็มีเวลาของนิพพานเหมือนกัน ไม่ใช่ว่า เวลาจะหายไปเลย

ผมจึงสงสัยว่า คุณปรีดามีความเห็นเกี่ยวเวลาทั้งภาพสามและนิพพานอย่างไร

คุณปรีดาก็หายหน้าไปเลย 

คนต่อไปคือ คุณพงษ์ [IP: 202.29.62.252] 13 กุมภาพันธ์ 2554 12:32 เข้ามาให้ความเห็น ดังนี้

บางครั้ง ถ้าเรามองถึงว่า พระพุทธเจ้าก็อย่าเพิ่งเชื่อ เชื่อในธรรม ที่เราปฏิบัติแล้วดับทุกข์ได้จริง อันนี้คือจริงที่สุด และถือเป็นการใช้ปัญญาแล้ว แต่ผมเชื่อว่านิพพานเป็นอัตตา

คนส่วนใหญ่จะต้องหาที่พึ่งเวลาเจอเหตุการณ์ร้ายๆ วันก่อนไปงานบวชเจอเหตุการณ์ระหว่างที่ชินกร ไกรลาศ กำลังแหล่สอนนาคประมาณห้าทุ่ม มีหม้อแปลงระเบิด

จากนั้น มีผู้หญิงคนหนึ่งนั่งข้างหม้อแปลงไฟไหม้ทั้งตัว ไฟดับหมดทั้งงาน คนทั้งงานต่างตกใจกลัว ไม่มีใครไปช่วยดับไฟให้เค้า ปรากฏว่าไหม้ไป 80% หน้าเละครับ

ผมก็จิตตกเลย เราก็คิดว่า เราดีแล้วที่ยังดวงดีหรือมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์คุ้มครองอยู่ คิดว่าชีวิตไม่เที่ยงจริงๆ แค่มางานบวชยังอันตรายขนาดนี้ เวลาเพียงเสี้ยววิ อะไรจะเกิดกับเราก็ได้

วิชาธรรมกาย ผมก็เคยฝึกแต่ไม่เคยเห็นอะไรเลย ผมเคารพหลวงพ่อสดเสมอมานะครับ เคยไปไหว้ท่านที่วัดปากน้ำมา 2 ครั้งแล้ว

รู้ว่า ท่านศักดิ์สิทธิ์มาก เวลาผ่านมาหลังจากท่านมรณะภาพแล้ว 50 กว่าปีท่านยังดังอยู่เลย

อันนี้ก็ได้วัดธรรมกายเป็นช่วยโปรโมทได้ดีด้วย ในความรู้สึกแล้วคิดว่าท่านน่าจะยังอยู่ และคิดว่าวิชาของท่านไม่ธรรมดา แล้วถ้าว่างผมก็จะไปลองศึกษากับทีมงานของท่านมนัสนะครับ

ผมตอบไปดังนี้ (13 กุมภาพันธ์ 2554 23:26)

เรียน คุณพงษ์

ถ้าต้องการฝึกปฏิบัติธรรมกับคณะของพวกเรา ก็ขอให้ไปอ่านรายละเอียดในนี้ครับ


สำหรับวันเวลาของที่จะฝึกปฏิบัติธรรมในเดือนมีนาคม  ผมจะรู้อย่างแน่นอนก็เมื่อประชุมกับคุณลุงแล้ว

ที่ว่า "ประชุมกับคุณลุง" นั้น หมายความว่า  เราจะมีการประชุมเพื่อรายงานคุณลุงว่า เดือนที่ผ่านมาเราไปสอนที่ไหนมาบ้าง ผู้ที่เข้ารับการฝึกเห็นดวง เห็นกาย เห็น 18 กาย เห็นรัตนเจ็ดเท่าไหร่บ้าง

เมื่อประชุมแล้ว คุณลุงจะกำหนดวันประชุมของเดือนมีนาคม  พวกเราจะบอกได้ว่า การประชุมของเดือนมีนาคมจะเป็นวันไหน  แต่ส่วนใหญ่แล้วจะเป็นวันอาทิตย์

คุณพงษ์เข้ามาถามอีก ดังนี้ (14 กุมภาพันธ์ 2554 18:05)

ผมเคยฝึกมาแล้วแต่ยังไม่เคยเห็นอะไรเลย แล้ววันเดียวจะเห็นได้หรอครับ

ผมตอบไป ดังนี้ (14 กุมภาพันธ์ 2554 21:01)

เรียน คุณพงษ์ [IP: 202.29.62.252]

การฝึกวิชชาธรรมกายอย่างถูกต้องนั้น ไม่เกี่ยวกับอายุ ไม่เกี่ยวกับเพศ ไม่เกี่ยวกับอาชีพ ฯลฯ มีปัจจัยเดียวคือ ทำใจให้หยุด ให้นิ่ง ตามคำบอกของวิทยากรได้หรือปล่าว

ขอยกตัวอย่าง 1 คน ตอนนี้ลูกศิษย์ของกลุ่มผม (วิทยากรไม่ได้มีคนเดียว)  มีชื่อเล่นว่า "อ้อย"  ฝึกมาหลายแห่ง หลายปี ไม่เห็นอะไร   แต่มาถึงกับกลุ่มของพวกผม เพียงแค่วันเดียว  ( ณ โครงการบ้านเธียรสวน)

ตอนนี้รู้ญาณ (ญาณทัสสนะ) ของเธอ เก่งกว่าพวกผมที่เป็นวิทยากรเสียอีก

เมื่อต้องการรู้เรื่องบางอย่าง จากต้นธาตุ หลวงพ่อวัดปากน้ำ หรือพระพุทธองค์ เราต้องถามความเห็นจากเธอด้วยซ้ำไป แต่เราก็ยังเป็นอาจารย์ของเธออยู่  ในทางวิชชาธรรมกาย ไม่มีการข้ามชั้น ข้ามหน้า ครูบาอาจารย์

ถ้าคุณมาร่วมเรียนมาร่วมศึกษากับเรา  คุณจะพบกับคนเก่งๆ ที่เรียนวันเดียว มีหลายคนด้วย ไม่ใช่คนเดียว

เก่งจนวิทยากรงง .....แต่เรารู้ว่า บุคคลเหล่านี้ เขาฝึกมาแล้วหลายอสงไชยชาติ  ไม่มีเรื่องบังเอิญในทางวิชชาธรรมกาย

ลองมาฝึกดู  เสียค่าใช้จ่ายอย่างเดียว คือ ค่าเดินทางมาฝึกเท่านั้น อย่างอื่นไม่เสีย เพราะ เราต้องการสร้างบารมี  ไม่ใช่ต้องการเงิน

คุณจะได้รู้ว่า วิชชาธรรมกายของแท้ๆ นั้น มีอะไรบ้าง ต้องทำอย่างไร ฯลฯ

คุณพงษ์เข้ามาครั้งหนึ่ง ดังนี้ (15 กุมภาพันธ์ 2554 10:00)

เรียนคุณมนัส
อย่างนั้นเดี๋ยวไม่เดือนมีนาคม หรือ เมษายน ผมจะไปลองดูครับ เราอาจจะได้เจอกันครับ




ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น