บริจาค

เห็นว่า..บล็อกนี้ดี มีประโยชน์... โปรดสนับสนุนผู้ทำบล็อกได้ที่ พร้อมเพย์ 083-4616989
หรือบัญชี 002-1-70462-8 กสิกรไทย สาขาบางลำภู

นิพพานเป็นอนัตตากับการถกเถียง[02]

ในบทความ “นิพพานเป็นอนัตตากับการถกเถียง[01]” ผมกำลังพูดคุยซักถามอยู่กับคุณพงษ์ ผมได้อธิบายเพิ่มเติมไป ดังนี้ (15 กุมภาพันธ์ 2554 22:20)

เรียน คุณพงษ์ ขออธิบายเพิ่มเติมดังนี้

1) การเรียนวิชชาธรรมกายต้องเรียนกับวิทยากร

วิชชาธรรมกายเป็นการปฏิบัติธรรมที่เป็นเนื้อหนังของศาสนาพุทธ พระพุทธเจ้าทรงบรรลุวิชชานี้ จึงสามารถบรรลุพระสัมมาสัมโพธิญาณได้

คุณพงษ์ลองคิดดูซิว่า มีสายปฏิบัติธรรมสายใดเคยอธิบายได้ว่า พระพุทธเจ้าทรงเอาความรู้มาจากไหนอย่างมากมาย จนสามารถสอนพุทธศาสนิกชนได้ถึง 45 ปี เป็นพระไตรปิฎกภาษาไทยก็ 45 เล่ม

พระองค์ทรงไม่เคยไปสัมมนาเพิ่มเติมที่ไหน  การบรรลุวิชชาสามในวันวิสาขบูขานั้น ทุกคนก็อ่านเข้าใจกัน แต่วิชชาอื่นๆ ซึ่งสามารถนำมาเขียนเป็นพระไตรปิฎกพระองค์ไปค้นคว้ามาจากไหน ตั้งแต่เมื่อไหร่

ทางวิชชาธรรมกายบอกได้ชัดเจนว่า กายธรรมพระอรหัตของพระองค์เป็นผู้บอกความรู้ต่างๆ ให้กับพระองค์  พระองค์จึงไปสอนให้ใครเห็นดวงธรรมได้

คำศัพท์ที่สามารถยืนยันได้ในพระไตรปิฎกก็คือ มีดวงตาเห็นธรรม

คำๆ นี้ พุทธวิชาการไม่รู้เรื่องอะไร ก็ตีความไปมั่ว  แถมท้ายอีกหน่อย  พวกพุทธวิชาการทั้งหลายทั้งปวงนั้น  ตายไปแล้ว แทบไม่ได้ไปสวรรค์กันเลย   ล่วงไปอบายภูมิกันเกือบหมด

ที่กล่าวไปทั้งหมดข้างต้น  ผมต้องการจะบอกว่า  คนที่จะสามารถสอนให้คนเห็น ดวงธรรมได้ ต้องมีบารมีมากพอสมควร  อย่างน้อยๆ ก็ 4 อสงไขย

2) วิทยากรของคุณลุงมีบารมีมากขนาดไหน

ขอเขียนตรงนี้ขอบอกไว้ก่อนเลยว่า ขอให้อ่านอย่างมีวิจารณญาณ ไม่ควรฟันธงว่าจริงหรือไม่จริงไปเลยควรมาพิสูจน์กันก่อน

วิชชาธรรมกายนั้น แค่วิชชา 18 กาย ซึ่งเป็นวิชชาระดับอนุบาลเท่านั้น  คนที่ปฏิบัติได้ ยังสามารถไปพบพระพุทธเจ้าในนิพพานได้  เข้าไปพบหลวงพ่อวัดปากน้ำได้  [เด็กนักเรียนที่ผมสอนอยู่เป็นประจำ ทำได้ทุกคน]

ดังนั้น พวกที่มีวิชชาธรรมกายสูงๆ นั้น จะรู้เลยว่า คนหนึ่งๆ นั้น มีความเป็นมาอย่างไร ก่อนเกิดมาจากไหน มาทำอะไรบนโลกมนุษย์

วิทยากรของคุณลุงนั้น ส่วนใหญ่เป็นผู้มีบารมีธรรมสูงมาก บอกใบ้นิดหนึ่ง ไม่ได้มาจากสวรรค์ รูปพรหม หรืออรูปพรหม แต่มาจากที่สูงกว่านั้น

พวกเขาเหล่านี้ ธาตุธรรมฝ่ายขาวส่งมาเกิดเพื่อสร้างบารมี

ขอแถมหน่อยว่า ไชยบูลย์/ธัมมชโยไม่ใช่มาจากพวกเรา  มารมันส่งมาเกิดเพื่อทำลายวิชชาธรรมกาย

การที่จะเป็นวิทยากรได้นั้น ต้องไปสอบวิชชาการเป็นวิทยากรเสียก่อน  พอสอบเป็นวิทยากรผ่านแล้ว พระพุทธเจ้าจะให้บารมีเพื่อนำไปสอนให้คนเห็นดวงธรรมและกายธรรมได้

ตอนสอบนั้น พระพุทธเจ้าทรงลงมาคุมสอบด้วย  [เราสามารถเห็นได้ด้วยวิชชาธรรมกายของเรา]

คนที่ทำหน้าที่คุมสอบวิทยากรได้ ก็มีคุณลุง และลูกศิษย์ของคุณลุงอีกเพียง 3 คน ผมเป็นหนึ่งในนั้น

3) การมีวิทยากรมีบารมีธรรมสูงๆ จึงสามารถสอนคนให้เห็นดวงธรรมและกายธรรมได้ง่ายมากๆ

4) ผมเองนั้น เด็กตา (ตาพิการ) เด็กหู (หูพิการ) เด็กปัญญา (สมองพิการ) ผมสอนมาแล้วทั้งนั้น เห็นดวงธรรมกายธรรมมาแล้วทั้งนั้น

เด็กที่สอนยากที่สุดคือ เด็กหู (หูพิการ) ต้องให้ล่ามภาษามือช่วยแปล  ล่ามแปลดี เด็กก็ทำได้ดี  วันไหนล่ามคนใหม่มา ทั้งๆ ที่เป็นเด็กกลุ่มเดิม ดันแปลไม่ดี  เด็กก็ทำไม่ได้

5) ผมทำวิจัยเกี่ยวกับวิชชาธรรมกายไว้เป็นจำนวนมาก  เคยไปเผยแพร่ในงานวิจัยระดับชาติก็ทำมาแล้ว

ที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ คุณสามารถมาพิสูจน์ด้วยตัวของคุณเอง ในเวลาเพียง 1 วันเท่านั้น  พาเพื่อนฝูงญาติพี่น้องมาจับผิดได้เลย

ถ้าจะให้ดีพาเด็กๆ มาด้วย  เพราะเด็กเห็นดวงธรรมและกายธรรมได้ง่ายมาก  พวกผู้ใหญ่ชอบ คิดมาก”  จึงเห็นดวงธรรมได้ช้า

 “ทองแท้ย่อมไม่กลัวไฟ


คุณพงษ์ยังติดใจอะไรบางอย่าง เข้ามาถามอีก ดังนี้ (16 กุมภาพันธ์ 2554 09:57)

เรียนคุณมนัส

ผมขอเวลาคุณมนัสอีกซักนิดนะครับ  ถ้าตามที่คุณมนัสบอกมาหลังจากตายไปแล้วเรื่องมันจบแบบหักมุมมากเลยนะครับ

หมายถึงว่าเส้นทางไปสุขคติภูมิหรือนิพพานไม่ใช่ง่ายนะครับ กว่าจะเจอวิธีในการปฏิบัติที่ถูกต้อง เราต้องเลือกเอง และยอมรับผลของการเลือกนั้น ถ้าเลือกถูกก็ดีไป แต่คนเรามักจะเกิดความลังเล สงสัยว่าถูกมั้ย ที่เลือกใช่หรือป่าว ทุกสำนักต่างก็บอกว่าของตัวเองจริงมันเลยยากมากที่จะเลือก

ผมไปอ่านคู่มือมรรคผลพิสดาร 1,2 ที่โหลดมาจากเว็บของคุณลุง แต่อ่านไม่รู้เรื่องครับ ยากมาก แล้วถ้าผมฝึกไปเรื่อยๆ แบบเอาจริงเอาจังภายในชาตินี้จะบรรลุมรรคผลทั้งที่เป็นฆราวาสได้หรือป่าวครับ และตอนนี้นอกจากคุณลุงแล้วพอจะมีใครที่เก่งเท่าคุณลุงบ้างครับ


ผมตอบไป ดังนี้ (16 กุมภาพันธ์ 2554 17:02)

เรียนคุณพงษ์

1) เรื่องตายแล้วเกิด ตายแล้วไปไหน ชีวิตหลังความตายมีหรือไม่ มีเหตุการณ์เบื้องหลังเหตุการณ์ที่ปรากฏในโลกนี้หรือเปล่าฯลฯ ?

เรื่องนี้เป็นปัญหาปรัชญาของโลกมานานแล้ว  [ผมเรียนจบปริญญาเอกก็เรียนและอ่านหนังสือประเภทนี้ มากมายมหาศาล] ไม่ใช่ที่คุณพงษ์คิดเฉพาะในแวดวงศาสนาของเรา

องค์ความรู้ที่ใหญ่และกำหนดทิศทางการดำเนินชีวิตของคนนั้น มี 3 องค์ความรู้คือ ศาสนา ปรัชญา และวิทยาศาสตร์

พวกเชื่อวิทยาศาสตร์ก็จะเชื่อเฉพาะสิ่งที่สามารถสัมผัสด้วยประสาทสัมผัสทั้ง 5 คือ หู ตา จมูก ลิ้น และกายเท่านั้น เมื่อวิทยาศาสตร์เก่าแบบนิวตันดังขึ้นมา  องค์ความรู้ของวิทยาศาสตร์เก่าแบบนิวตันนี้ โค่นองค์ความรู้อื่นๆ ลงไปมากมาย

ในแวดวงวิชาการ ลงความเห็นแบบฟันธงเลยว่า "วิทยาศาสตร์เป็นความจริงของจริงที่สุดแล้ว"  ซึ่งเป็นความเข้าใจผิดนะครับ

เดี๋ยวนักฟิสิกส์รุ่นใหม่ หลังไอน์สไตน์เป็นต้นมา เขาโค่นองค์ความรู้ของวิทยาศาสตร์เก่าแบบนิวตันไปหมดแล้ว  ดังนั้น ในยุคปัจจุบันเราจะพูดว่า "นรกสวรรค์ไม่มีเพราะพิสูจน์ไม่ได้ในทางวิทยาศาสตร์" ไม่ได้อีกแล้ว

พวกเชื่อ "ปรัชญา" ซึ่งก็คือ นักปรัชญาเขาก็มีความคิดความเชื่อไปอย่างหนึ่ง พวกเชื่อปรัชญานี้ จะไม่เชื่อว่ามีองค์ความรู้ใดค้นพบความจริงแล้ว  ดังนั้น นักปรัชญาส่วนใหญ่ จึงไม่นับถือศาสนาใดๆ

พวกที่เชื่อศาสนา ก็มีความเชื่อกันไป แต่ศาสนาก็มีหลายศาสนา

โดยสรุป ในทางวิชาการหรือโดยทั่วไป เราก็ต้องเสี่ยงบุญเสี่ยงกรรมเชื่ออะไรไปอย่างหนึ่ง นั่นแหละคุณพงษ์

ถ้าศึกษากันในทางวิชาการจริงๆ ไม่มีใครกล้าฟันธงหรอกว่า ของฉันถูก ของฉันผิด  ไม่ว่าในทางศาสนา หรือปรัชญา หรือวิทยาศาสตร์ เพราะ เรียนกันขึ้นไปจนหมดโลกแล้ว [พวกดอกเตอร์ทั้งหลาย] ก็จะพบว่า ความรู้ทางปรัชญากับวิทยาศาสตร์นั้นยังไม่สิ้นสุด ยังต้องค้นคว้าไปอีก

ในทางศาสนานั้น ทุกศาสดาต่างก็อ้างว่า "คนค้นพบความจริงแท้แล้ว" แต่มีตั้งหลายศาสนา เราจะรู้ได้อย่างไรว่า ศาสนาพราหมณ์-ฮินดู ศาสนาคริสต์ ศาสนาอิสลาม ศาสนายูดาย หรือศาสนาพุทธถูกที่สุด

ที่ยิ่งแย่ไปกว่านั้นก็คือ ในศาสนาเดียวกัน ยังมีการแบ่งแยกนิกายอีก  แล้วของใครมันถูกต้องจริงๆ กันล่ะ

ขอสรุปอีกทีว่า  มนุษย์เลือกเชื่อสิ่งใดก็ตาม ต่างสุ่มเสี่ยงทั้งสิ้น แต่มนุษย์ก็ต้องมีศรัทธาและความเชื่อไปในทางใดทางหนึ่ง

ก็เสี่ยงบุญเสี่ยงกรรมเอาเองก็แล้วกัน

อย่างไรก็ดี คนในศาสนาพุทธส่วนใหญ่ ก็คิดแบบเข้าข้างตัวเองว่า เราโชคดี แต่ในทำนองเดียวกัน พวกคริสต์-อิสลาม เขาก็สงสารเราน้ำหูน้ำตาไหล เพราะ เขาคิดว่า เราตายแล้วต้องไปนรก (ของเขาแน่ๆ)  ไอ้ทางเราก็สงสารเขาเหมือนกัน เพราะ เราก็คิดว่า เขาต้องตกนรก (ของเราแน่ๆ)

อย่างไรก็ดี  ศาสนาอื่นๆ นั้น เขา "สั่ง", "บังคับ" ให้เชื่ออย่างเดียว  ห้ามพิสูจน์  ห้ามสงสัยใดๆ ทั้งสิ้น แต่ในทางวิชชาธรรมกาย (เนื้อหนังแท้ของศาสนาพุทธนั้น) เราสามารถพิสูจน์กันได้

ผมเสนอวิธีการพิสูจน์ไว้เลย  คุณพงษ์จะทำตามหรือไม่ก็ตามแต่สมัครใจ ผมขอเล่าเรื่องส่วนตัวประกอบนิดหนึ่ง

ผมเป็นเด็กต่างจังหวัด เรียนต่างจังหวัดตลอดจนจบปริญญาตรี  มาเรียนธรรมศาสตร์ตอนปริญญาโทกับปริญญาเอก  ครั้งหนึ่งมาเยี่ยมเพื่อนในกรุงเทพฯ ก็เพื่อนจากต่างจังหวัดนั่นแหละ มันมาเรียนต่อในกรุงเทพฯ

เพื่อนมันพาเล่น "ผีถ้วยแก้ว"  แก้วมันก็เลื่อนไปอย่างนั้นแหละ แต่ผมก็เชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง  เพราะ เราคนเดียว ไอ้พวกกรุงเทพฯ มันมี 3 คน  มันอาจจะดันถ้วยให้ไปตามตัวหนังสือก็ได้

พอกลับบ้านนอก ผมก็พาเพื่อนที่บ้านเล่น  ผีมันก็พาถ้วยไปได้  ผมก็เลยเชื่อว่า ผีมันมาเข้าถ้วยจริง  แต่ไอ้เพื่อนของผมอีก 3 คน  มันก็ไม่เชื่อมันก็หาว่า ผมดันถ้วย

ผมก็บอกพวกมันว่า "พวกคุณๆ ทั้งหลาย มี 3 คน" ผมจะไปดันอย่างไร  พวกมันก็ยังไม่เชื่อจนกระทั่งบัดนี้

กลับเข้ามาหนทางพิสูจน์ คือ เรื่องการเป็นวิทยากร

วิทยากรของคุณลุงนั้น เมื่อผ่านการสอบไปแล้ว และสอบผ่านแล้ว (มีคนสอบตกเหมือนกัน บางคนสอบสองครั้ง)  สามารถไปสอนคนให้เห็นดวงธรรมและกายธรรมได้เลย ทั้งๆ ที่ตัววิทยากรยังไม่เห็นดวงธรรมและกายธรรม

คือ คุณลุงพัฒนาการสอนไปจนเหมือนกันวิชาทางในทางโลกทั่วๆ ไป คือ ถ้าคุณเรียนจบปริญญาตรีสาขาไหน คุณก็สามารถไปทำงานหาเลี้ยงชีพได้

วิทยากรที่สอบผ่านไปแล้ว  สามารถสอนให้ผู้ปฏิบัติธรรมเห็นดวงเห็นกายธรรมได้ทุกคน

คุณพงษ์ก็สามารถมาพิสูจน์ด้วยตนเองได้  ไม่มีการเรี่ยไรเงิน ไม่มีการเสียค่าใช้จ่ายใดๆ ทั้งสิ้น

หลักสูตรการสอบเป็นวิทยากรนั้น  ขณะนี้ที่อยู่กับผมถือเป็นหลักสูตรมาตรฐาน ก็เพราะ ผมเป็นคนคุมสอบด้วย  เป็นลูกศิษย์คนแรกที่คุณลุงแต่งตั้งให้คุมสอบแทนคุณลุงได้

ผมมีเป็นไฟล์ pdf อยากได้ก็บอกอีเมล์มาเลย  เดี๋ยวส่งให้

โดยสรุปทั้งหมดข้างบน  การเลือกเชื่อศาสนาพุทธในสายวิชชาธรรมกายนั้น มีหนทางพิสูจน์ได้ว่า องค์ความรู้ของศาสนาพุทธเป็นจริงหรือไม่ ประการใด พิสูจน์ได้อย่างเห็นชัดแจ้งเลยทีเดียว

สำหรับคำถามนี้
----------------
ผมไปอ่านคู่มือมรรคผลพิสดาร 1,2 ที่โหลดมาจากเว็บของคุณลุง แต่อ่านไม่รู้เรื่องครับ ยากมาก แล้วถ้าผมฝึกไปเรื่อยๆ แบบเอาจริงเอาจังภายในชาตินี้จะบรรลุมรรคผลทั้งที่เป็นฆราวาสได้หรือป่าวครับ และตอนนี้นอกจากคุณลุงแล้วพอจะมีใครที่เก่งเท่าคุณลุงบ้างครับ
---------------

1) หนังสือมรรคผลพิสดาร 1,2  ถ้าคุณอ่านเข้าใจและทำได้ สามารถบรรลุพระอรหันต์แน่นอน  แต่มันไม่ง่ายอย่างนั้น เพราะ การที่คุณจะบรรลุพระอรหันต์ได้นั้น  คุณต้องมีบารมี 30 ทัศครบถ้วน

ผมไม่รู้บารมี 30 ทัศของคุณพงษ์มีเท่าไหร่แล้ว  แต่ฟันธงได้เลย ยังน้อยกว่าผมครับ  เพราะ คุณยังไปหาคุณลุงไม่ได้เลย  แต่ผมไปหาคุณลุงทำงานให้คุณลุงมาก็เกือบ 10 ปีแล้ว

แต่ยืนยันได้ว่า คุณสามารถจะรู้ได้ว่า ตอนนี้คุณมีบารมีเท่าไหร่แล้ว  เพราะ วิชชาธรรมกายตรวจสอบได้เลย

เราทำไม่ได้  วิทยากรคนอื่นก็ทำได้  เราก็ขอร้องให้เขาดูให้ ก็เท่านั้น

2) สำหรับคุณลุงการุณย์ ตั้งแต่อดีต ปัจจุบัน อนาคต ก่อนอดีต ปัจจุบัน อนาคต และหลังอดีต ปัจจุบัน อนาคต ยังไม่มีใครปราบมารได้เท่าที่คุณลุงทำ  เน้นเฉพาะเรื่องการปราบมาร  แต่การปราบมารนั้น  ต้องอาศัยวิชชา 18 กาย และวิชชาอื่นๆ ที่หลวงพ่อวัดปากน้ำไปค้นมาได้

บอกได้อย่างนี้แหละ และอย่าไปคิดว่า ใครจะเก่งกว่าใคร คนโน้นเก่งกว่าคนนี้  มันเป็นทั้งกิเลส ทั้งนิวรณ์

ผมฟันธงไปก่อนเลยว่า คุณพงษ์เป็นพวก "ชอบคิด"  ปฏิบัติธรรมไปแป๊บเดียว จิตก็ไปคิดเรื่องนั้น ก็ไปคิดเรื่องนี้ ตอนที่จิตแว่บออกไปคิดเรื่องนั้นเรื่องนี้ ก็ชอบด้วย

จิตถึงไม่รวมเป็น "เอกัคตารมณ์" เสียที เมื่อจิตยังไม่หยุดนิ่งแน่นอย่างถูกส่วน  คุณพงษ์จึงยังไม่เห็น "ดวงธรรม"


คุณพงษ์เข้ามาถามอีก ดังนี้ (17 กุมภาพันธ์ 2554 10:14)

เรียนคุณมนัส อีเมล์ผม phong493@gmail.com

ถ้างั้นผมขอหลักสูตรเลยแล้วกันนะครับ เผื่อฝึกไปเองเรื่อยๆ ก่อน เพราะตอนนี้ยังไม่ว่างไปเรียนกับทีมงานคุณมนัสเลยครับ

ถ้าผมเคลียร์งานแล้วน่าจะว่าง มีนา ไม่ก็เมษาน่ะครับ ผมจะไปลองดูครับ

ผมตอบไป ดังนี้ (17 กุมภาพันธ์ 2554 19:01)

เรียนคุณพงษ์

ส่งให้แล้ว  มีรูปหลวงพ่อกับรูปคุณลุงด้วย print out ออกมา แล้วไปใส่กรอบบูชาได้เลย รับรองจะมีจักรพรรดิเข้าไปอยู่ แต่กายจะใหญ่หรือเล็กนั้น ไม่แน่ใจ หมายความว่า จะมีบารมีในระดับไหน ยังไม่รู้

คุณเคยอ่านหนังสือของหลวงพ่อแล้ว คงรู้จักเรื่องจักรพรรดิบางแล้ว  เมื่อมาอบรมกับเรา ก็เอาภาพมาด้วย  จะให้วิทยากรตรวจให้ว่า มีจักรพรรดิ หรือไม่อย่างไร

สำหรับหลักสูตรก็ท่องแบบท่องอาขยานเลย  เดี๋ยวก็จะเห็นดวงธรรมขึ้นเอง  เวลาท่องก็ท่องไปด้วย เอาใจนึกไปด้วย  ยังจำไม่ได้ ก็เปิดอ่านเอาเลย  ทำใหม่ๆ ก็เปิดไปด้วยทำไปด้วยก็ได้

ถ้าจะให้ดี  ก่อนนอนทำ 1 ครั้ง  ตื่นนอนมาทำอีก 1 ครั้ง กลางวันถ้ามีเวลาเหลือก็แถมได้ ตามแต่จะขยันหรือไม่ขยัน

วิทยากรก็ต้องทำแบบนี้ทุกคน  สงสัยอะไรก็ถามมาได้อีก

คุณพงษ์เข้ามาครั้งสุดท้าย ดังนี้ (20 กุมภาพันธ์ 2554 21:10)

ขอบคุณมากครับ เดี๋ยวผมจะลองดูครับ

ผมตอบคุณพงษ์ครั้งสุดท้าย ดังนี้ (20 กุมภาพันธ์ 2554 23:34)

เรียนคุณพงษ์  ขอแถมอีกนิดหนึ่ง หลวงพ่อวัดปากน้ำเพิ่งสั่งให้พวกเราทำ เมื่อ 2-3 วันมานี้เอง จึงมาแนะนำให้ทำกันเลย

อย่าเพิ่งไปสงสัยว่า เรารับคำสั่งของหลวงพ่อวัดปากน้ำได้อย่างไร  แค่คุณผ่านวิชชา 18 กาย คุณก็ทำได้แล้ว

หลวงพ่อสั่งว่า ในตอนนอนนั้น ให้ท่อง "หยุดในหยุด นิ่งในนิ่ง ใสในใส" โดยให้ใจหยุดนิ่งไว้ที่ฐานที่ 7 เหนือสะดือ 2 นิ้วมือ จนกว่าจะหลับไป

ถ้ารู้สึกตัวตื่นขึ้นมาในช่วงนอน  ก็ให้ทำต่อไปเรื่อยๆ  ทำอย่างนี้ ไม่นานก็เห็นดวงธรรมแน่ๆ





ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น