บริจาค

เห็นว่า..บล็อกนี้ดี มีประโยชน์... โปรดสนับสนุนผู้ทำบล็อกได้ที่ พร้อมเพย์ 083-4616989
หรือบัญชี 002-1-70462-8 กสิกรไทย สาขาบางลำภู

นิพพานเป็นอนัตตากับสุชีพ ปุญญานุภาพ[01]


กระบวนการที่พุทธวิชาการตีความศาสนาผิดเพี้ยนไปนั้น มีหลายสิ่งหลายอย่าง

แต่สิ่งที่ทำให้คนไทยในยุคปัจจุบัน กลายเป็นคนคดโกง เห็นแก่ตัว เอาเปรียบสังคม และแสดงให้เห็นความอ่อนด้อยทางปัญญาของพุทธวิชาการมากที่สุดก็คือ

การสอนว่า นิพพานเป็นอนัตตา

ในการศึกษาเรื่องดังกล่าวนี้ ไม่ต้องใช้วิชาภาษาศาสตร์ ซึ่งเป็นวิทยาศาสตร์สาขาหนึ่งเข้ามาศึกษาก็ได้  ใช้องค์ความรู้ทางภาษาบาลี กับภาษาไทย

กับทิ้งความคิดที่ว่า ฝรั่งเป็นเทวดาออกไปจากความคิด  นิพพานจะเป็นอนัตตาไปไม่ได้เลย

การตีความว่า  นิพพานเป็นอนัตตา เกิดขึ้นและมีความน่าเชื่อถือ ก็เพราะพุทธวิชาการเหล่านั้นเชื่อว่า คนเราเกิดมาเพียงชาติเดียว ตามหลักของวิทยาศาสตร์ 

การเกิดเป็นคนเป็นอุบัติการณ์ทางธรรมชาติแบบหนึ่ง ไม่มีชาติก่อน ชาติหน้า ไม่มีสวรรค์ ไม่มีนรก 

ความคิดของคน ซึ่งสามารถสร้างโลก สร้างนักวิทยาศาสตร์ดังๆ ขึ้นมาได้ สร้างศาสนา สร้างระบบปรัชญา ฯลฯ  

นักวิทยาศาสตร์ก็คิดว่า เป็นเพียงปฏิกิริยาเคมีของสมองเท่านั้น

เหตุผลอีกประการหนึ่งก็คือ พุทธวิชาการไปพบข้อเขียนของอรรถกถาจารย์บางท่าน ที่เขียนด้วยความเข้าใจผิดว่า  นิพพานเป็นอนัตตา ก็นำมาขยายความเพื่อยืนยันความเชื่อไปตามฝรั่ง ซึ่งเป็นเทวดาของพุทธวิชาการทั้งหลาย

การเลือกวิเคราะห์ข้อเขียนของ คุณสุชีพในครั้งนี้ ก็เพราะ คุณสุชีพท่านเชื่อฝรั่ง แต่ท่านก็นำข้อมูลของท่านมานำเสนอด้วย  ทำให้เราวิเคราะห์ วิพากย์และวิจารณ์ได้ง่าย

พุทธวิชาการส่วนใหญ่ แล้ว ทำสิ่งที่น่ารังเกียจเป็นอย่างยิ่ง ถ้าใช้มาตรฐานของนักวิชาการระดับนานาชาติ  เนื่องจาก พูดและเขียนราวกับว่า นิพพานเป็นอนัตตาเป็นความจริง (truth) แล้ว ไม่บอกที่มาที่ไปเสียด้วย

การทำอย่างนั้นเป็นสิ่งที่น่ารังเกียจมากๆ......... ทุเรศพิลึก..

สิ่งที่จะวิเคราะห์กันก่อนที่จะวิพากษ์วิจารณ์ว่า  นิพพานเป็นอนัตตา เป็นความผิดพลาดอย่างใหญ่หลวงประการใดนั้น 

ผมจะวิเคราะห์เรื่องความหมายของอนัตตาก่อนว่า อนัตตาควรแปลว่าอย่างไร

มีผู้ถามคุณสุชีพในหนังสือ คำถาม คำตอบ: ปัญหาทางพระพุทธศาสนา เล่ม 2 ว่า

การแปล อนัตตาว่า ไม่มีตัวตน หรือไม่ใช่ตัวตนจะเป็นการแปลผิดหรือไม่

เพราะ พระพุทธภาษิตก็มีรับรองว่า ตนแลเป็นที่พึ่งแห่งตน และวิทยาศาสตร์ก็รับรองว่า วัตถุนั้นมี มนุษย์ สัตว์ พืช และสากลจักรวาลก็มีอยู่ (ผู้ถาม ส. วรรธนะภูติ)

คุณสุชีพตอบคำถามดังกล่าว ดังนี้

การแปลอนัตตาว่าไม่ใช่ตัวตน ไม่มีตัวตน หรือไม่ใช่ตนก็แล้วแต่ เป็นการแปลเพื่อให้เห็นการปฏิวัติของพระพุทธศาสนา ต่อความเชื่อถือดั้งเดิมของพราหมณ์

ที่ถือว่า มีตัวยืนที่เรียกว่าอัตตาหรืออาตมัน เป็นตัวเที่ยงยั่งยืน เวียนว่ายตายเกิดอยู่

ส่วนชีวิตร่างกาย และชาติ เปรียบเหมือนเสื้อผ้าที่เปลี่ยนได้ แต่ตัวตนเป็นตัวหลักคงอยู่ พระพุทธเจ้าตรัสสอนให้คลายความติด หรือความยึดในอัตตานั้น

ดังที่ตรัสไว้ใน โปฏฐปาทสูตร ทีฆนิกาย (9/312/247) ว่า

คำว่า อัตตานี้เป็นเพียงชื่อทางโลก (โลกสมัญญา) คำพูดทางโลก (โลกนิรุตต) โวหารทางโลก (โลกโวหาร) และบัญญัติทางโลก (โลกบัญญัติ) ซึ่งพระองค์ก็ใช้พูดจาด้วย แต่ไม่ทรงติดหรือยึดถือ

คือ ทรงใช้ถ้อยคำตามภาษาโลก แต่ไม่ตรงยึดติดอยู่

ส่วนเหตุผลที่ทรงชี้ว่า มิใช่ตน หรือมิใช่อัตตานั้น เพราะไม่ว่าร่างกายหรือจิตใจมีความเปลี่ยนแปลงบังคับบัญชาให้เป็นไปตามชอบใจไม่ได้

คนที่ปล่อยวางอัตตาเสียบ้าง จะมีความสุขมาก เพราะ คนที่แบกอัตตาไว้มากไปไหน ก็ใหญ่ไปหมด ใครต้อนรับไม่ถูกใจ ไม่ให้เกียรติก็เดือดร้อน

พระ พุทธเจ้าตรัสว่า ขันธ์ 5 (ร่างกายและจิตใจ) เป็นภาระหรือของหนัก คนเราชื่อว่า ผู้แบกภาระ หรือแบกของหนัก การแบกภาระเป็นทุกข์ในโลก

บุคคลวางของหนักลงแล้ว ไม่แบกของหนักอย่างอื่นอีก ชื่อว่าถอนได้ซึ่งตัณหา คือ ความทะยานอยาก พร้อมทั้งรากเหง้า เป็นผู้หมดความหิวกระหายดับเย็น

การตอบคำถามของคุณสุชีพในเรื่องความหมายของอนัตตานั้น  ไม่สมกับการจบเปรียญเก้ามาเลย  ไม่มีหลักวิชาการใดๆ เป็นการตอบอย่างเลี่ยงบาลี

คำตอบดังกล่าวไม่ได้ตอบไปที่คำถามแม้แต่นิดเดียว 

นอกจากนั้นแล้ว  มาตรฐานของคำตอบนั้น  ถ้าเปรียบเทียบกับคำตอบอื่นๆ ของคุณสุชีพเองแล้ว  แตกต่างราวกับความรู้ของ ป. 4 กับปริญญาเอกเลยทีเดียว

ปัญหาที่เกิดจากคำตอบของคุณสุชีพ 1

มีผู้ถามคุณสุชีพไว้ในหนังสือชุดนี้ แต่เป็นเล่มที่ 9 เกี่ยวกับ เรื่องข้อปฏิบัติเพื่อผ่อนคลายความกลัดกลุ้มคุณสุชีพตอบไว้ว่า มี 6 ข้อ

ข้อที่ 6 คุณสุชีพตอบดังนี้

คิดและรู้ตามเป็นจริงว่า เนตัง มม (นั่นมิใช่ของเรา)  เนโสหมัสมิ  (เรามิได้เป็นนั่น) น เมโส อัตตา (นั่นมิใช่ตัวตนของเรา)

จากตัวอย่างคำตอบของคุณสุชีพที่ยกมานั้น จะเห็นว่า คุณสุชีพมีความสามารถในแปลภาษาบาลีเป็นอย่างดี  คุณสุชีพสามารถเขียน พจนานุกรม ศัพท์พระพุทธศาสนา ไทย-อังกฤษ อังกฤษ-ไทยได้ 

การตอบปัญหาเรื่องความหมายของอนัตตา ทำไมคุณสุชีพไม่ยกรากศัพท์มาอธิบายว่า อนัตตานั้น มีรากศัพท์มาอย่างไร

สรุปแล้ว อนัตตาควรแปลว่าอย่างไรโดยคำศัพท์  เมื่อนำไปเข้าประโยคในพระสูตรแล้ว ควรแปลว่าอย่างไร

ประเด็นที่จะชี้ให้เห็นเลยก็คือ คำว่า น เมโส อตฺตา (นั่นมิใช่ตัวตนของเรา)”  ข้อความที่ว่า "น เมโส อัตตาในที่นี้แปลว่า มิใช่ตัวตนของเราไม่ใช่หรือ

ที่ว่า "น เมโส อัตตา" ดังกล่าวนี้ คือ อนัตตาหรือไม่ เกี่ยวกันกันหรือไม่  ทำไมคุณสุชีพไม่เอาไปคำแปลตรงนี้ไปตอบคำถามด้วย

โดยสรุป

คุณสุชีพเป็นผู้เชี่ยวชาญภาษาบาลี  ในการตอบคำถามเกี่ยวกับความหมาย ทำไมไม่ยกรากศัพท์ว่า อนัตตาเกิดจากรากศัพท์ใด มีอุปสรรค ปัจจัยใด  เมื่อเข้าประโยคแล้ว มีการแปลว่าอย่างไรบ้าง

คุณสุชีพแปลคำ น เมโส อตฺตาว่า นั่นมิใช่ตัวตนของเราก็แสดงว่า อนัตตา (น+อัตตา) น่าจะแปลว่า มิใช่ตัวตนได้  เพราะ คุณสุชีพแปลไว้เอง แล้วทำไมคุณสุชีพไม่นำไปอธิบายในคำตอบ

ปัญหาที่เกิดจากคำตอบของคุณสุชีพ 2

ผู้ถาม ถามความหมายของคำว่า อนัตตา”  คุณสุชีพทำไมไม่ยก อนัตตลักขณสูตรเข้ามาเป็นตัวอย่างในการตอบคำถาม  คุณสุชีพไปยกพระสูตรอื่นๆ มาทำไม

อนัตตลักขณสูตร เป็นพระสูตรที่แก้ไขความยึดติด อัตตาแบบพราหมณ์ของเบญจวัคคีย์  เป็นพระสูตรที่เกี่ยวข้องโดยตรง แป๊ะ  ทำไมไม่นำมาเป็นตัวอย่าง

คุณสุชีพมีความสามารถเขียนหนังสือ พระไตรปิฎกฉบับย่อ สำหรับประชาชนอันเลื่องลือ มีการตีพิมพ์เป็นสิบๆ ครั้ง   คุณสุชีพไม่รู้จัก อนัตตลักขณสูตรหรือ...........

ปัญหาที่เกิดจากคำตอบของคุณสุชีพ 3

คำตอบของคุณสุชีพในช่วงแรก คุณสุชีพตอบดังนี้

การแปลอนัตตาว่าไม่ใช่ตัวตน ไม่มีตัวตน หรือไม่ใช่ตนก็แล้วแต่ เป็นการแปลเพื่อให้เห็นการปฏิวัติของพระพุทธศาสนาต่อความเชื่อถือดั้งเดิมของพราหมณ์ ที่ถือว่า มีตัวยืนที่เรียกว่า อัตตาหรืออาตมัน เป็นตัวเที่ยงยั่งยืน เวียนว่ายตายเกิดอยู่ 

ส่วนชีวิตร่างกาย และชาติ เปรียบเหมือนเสื้อผ้าที่เปลี่ยนได้ แต่ตัวตนเป็นตัวหลักคงอยู่ พระพุทธเจ้าตรัสสอนให้คลายความติด หรือความยึดในอัตตานั้น

ในการตอบคำถามนี้ ถ้าผมเป็นคนออกข้อสอบ  และคุณสุชีพเป็นนักศึกษา  คุณสุชีพติด F แน่นอน 

คุณสุชีพไม่ได้ตอบคำถามเลย  คำตอบนั้น เลี่ยงบาลีอย่างน่าเกลียด  แล้วผิดหลักวิชาการอย่างมหันต์อีกด้วย

ในสมัยที่พระพุทธองค์ทรงประกาศศาสนานั้น  ผ่านมาแล้ว สองพันห้าร้อยกว่าปี  เป็นเขตแดนที่เป็นอินเดียต่อเนปาลในปัจจุบันนี้

สภาพแวดล้อม สังคม ฯลฯ  แตกต่างจากประเทศไทยในยุคนี้ อย่างไม่รู้จะเปรียบอย่างไร

ผมยืนยันเอาหัวชนฝาเลยว่า คนไทยไม่รู้จัก อัตตาแบบพราหมณ์ อย่างที่นักวิชาการพยายามยัดเยียดให้เป็น

ประเทศไทยไม่ใช่อินเดียเมื่อสองพันปีมาแล้ว  คนไทยส่วนใหญ่ไม่ได้นับถือศาสดาฮินดู อย่างอินเดียเมื่อสองพันกว่ามาแล้ว

คนไทยไม่มีความเข้าใจเรื่อง อัตตาแบบพราหมณ์ อย่างเช่นในคนในอินเดียในยุคเมื่อสองพันกว่าปีมาแล้ว 

คนไทยเราเชื่อผี เชื่อเรื่องเปรต เชื่อเรื่องแม่นาค เชื่อเรื่องบุญกรรม เชื่อเรื่องการเวียนตายเวียนเกิด  ไม่มีใครเข้าใจเรื่องอัตตาแบบพราหมณ์

หนังเกี่ยวกับ ผีปอบยังสร้างได้เป็นสิบๆ ตอน

ไม่ต้องเอาประชาชนธรรมดาหรอก  พระเณรที่ศึกษาอยู่ในมหาวิทยาลัยสงฆ์ จะมีสักกี่รูปที่เข้าใจ อัตตาแบบพราหมณ์

คนไทยในยุคนี้ เข้าใจพระไตรลักษณ์ คือ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตาพอสมควร  เพราะ เรามีศาสนาพุทธเป็นพื้นฐาน ปนกับพราหมณ์ และผสมกับผีมานานแล้ว

โดยสรุป

คำตอบเรื่องความหมายของอนัตตาของคุณสุชีพนั้น ทำให้ความเป็นนักวิชาการของคุณสุชีพลดลงจนแทบไม่น่าเชื่อถือ  คุณสุชีพไม่ได้รักษามาตรฐานของนักวิชาการเลย เมื่อตอบคำถามนี้ 

อนัตตา นั้นแปลได้อย่างเดียวคือ ไม่ใช่ตัวตนซึ่งคุณสุชีพก็รู้ว่าอนัตตาแปลได้อย่างนี้เท่านั้น 

คุณสุชีพถึงไม่กล้ายก อนัตตลักขณสูตรเข้ามาเป็นตัวอย่างในการตอบคำถาม กลับไปยกพระสูตรที่ไม่เกี่ยวข้องเลยมาเป็นตัวอย่าง

ใน อนัตตลักขณสูตรนั้น คำว่า อนัตตาแปลว่า ไม่ใช่ตัวตนของเรา  ข้อความอย่างนี้ แสดงว่า ตัวตนของเรามี 

การแปลอนัตตาว่า ไม่ใช่ตัวตนของเรา  ซึ่งสื่อความหมายว่า ตัวตนของเรามีนั้น สอดคล้องกับพระสูตรจำนวนมาก  สอดคล้องกับคำถามด้วย

ประการสุดท้ายที่อยากจะให้ท่านผู้อ่านสังเกตก็คือ คุณสุชีพมีความเชี่ยวชาญพระไตรปิฎกมาก ในการตอบคำถามดังกล่าว ควรยกพระสูตรที่เกี่ยวข้องมาอธิบายทั้งหมด

พระสูตรที่ยืนยันว่า ตัวตนมีนั้น มีมากมาย  คุณสุชีพก็รู้จัก  ทำไมไม่ยกมาเป็นตัวอย่างประกอบด้วย  เพราะ ผู้ถามเขาก็เอ่ยถึง



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น